ธปท. มีหน้าที่กำกับดูแลผู้ให้บริการระบบการชำระเงินตามพระราชบัญญัติระบบการชำระเงิน พ.ศ. 2560 (พ.ร.บ. ระบบการชำระเงิน) ซึ่งมีคณะกรรมการระบบการชำระเงิน (กรช.) เป็นผู้กำหนดนโยบายเกี่ยวกับระบบการชำระเงินที่ ธปท. กำกับดูแลและระบบการหักบัญชีระหว่างสถาบันการเงิน รวมถึงติดตามการดำเนินงานของ ธปท. ในการจัดตั้งหรือสนับสนุนการจัดตั้งระบบการชำระเงิน ทั้งนี้ ธปท. มีวัตถุประสงค์ในการกำกับดูแลระบบการชำระเงิน เพื่อให้มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงในด้านต่าง ๆ ตามหลักการมาตรฐานสากล สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้บริการ รวมถึงส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันระหว่างผู้ให้บริการ ซึ่งนำไปสู่การมีเสถียรภาพของระบบการชำระเงินและระบบการเงินโดยรวม
การกำกับดูแล
ระบบการชำระเงิน
วัตถุประสงค์และบทบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
ในการกำกับดูแลระบบการชำระเงิน
ระบบการชำระเงินมีความสำคัญในฐานะเป็นเครื่องมือที่หล่อลื่นกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศให้ดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่องและมั่นคง โดยช่วยสนับสนุนและรองรับการทำธุรกรรมทางการเงินของสถาบันการเงิน ภาครัฐ ภาคเอกชน รวมถึงประชาชนทั่วไป ให้สามารถดำเนินการได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ ช่วยส่งเสริมการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจและรักษาเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ (Financial stability)
![](images/oversight-payment-01.jpg)
![](images/oversight-payment-01-m.jpg)
ระบบการชำระเงินมี
ความสำคัญในฐานะเป็นเครื่องมือ
ที่หล่อลื่นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
ของประเทศให้ดำเนินไปได้
อย่างต่อเนื่องและมั่นคง
การกำกับดูแลระบบการชำระเงินในประเทศไทย
ธปท. ได้จัดทำ “กรอบการกำกับดูแลระบบการชำระเงินในประเทศไทย (Oversight Framework of Payment Systems in Thailand)” เพื่อใช้เป็นแนวทางการดำเนินการของ ธปท. ในการกำกับดูแลระบบการชำระเงิน ดังนี้
![](images/oversight-payment-02.jpg)
1. การกำกับดูแลตาม พ.ร.บ. ระบบการชำระเงิน
การกำกับดูแลตาม พ.ร.บ. ระบบการชำระเงิน แบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก ได้แก่
1.1 ระบบการชำระเงินที่มีความสำคัญ ได้แก่ ระบบบาทเนต (Bank of Thailand Automated High-value Transfer Network: BAHTNET) และระบบการหักบัญชีเช็คด้วยภาพเช็ค (Imaged Cheque Clearing and Archive System: ICAS) ซึ่งเป็นระบบที่ ธปท. จัดตั้งและดำเนินการ
1.2 ระบบการชำระเงินภายใต้การกำกับ ได้แก่ (1) ระบบโอนเงินรายย่อยระหว่างผู้ใช้บริการของระบบ (Inter-institution Fund Transfer System) (2) ระบบเครือข่ายบัตร (Payment Card Network) และ (3) ระบบการชำระดุล (Settlement System)
1.3 บริการการชำระเงินภายใต้การกำกับ ได้แก่ (1) การให้บริการบัตรเครดิต บัตรเดบิต หรือบัตรเอทีเอ็ม (2) การให้บริการเงินอิเล็กทรอนิกส์ (3) การให้บริการรับชำระเงินด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์แทนผู้ขายสินค้าหรือผู้ให้บริการหรือเจ้าหนี้ (4) การให้บริการโอนเงินด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ และ (5) การให้บริการการชำระเงินอื่นใดที่อาจส่งผลกระทบต่อระบบการเงิน หรือประโยชน์สาธารณะ
ทั้งนี้ พ.ร.บ. ระบบการชำระเงิน มีบทบัญญัติในเรื่องที่สำคัญต่อเสถียรภาพระบบการชำระเงิน โดยมีการคุ้มครองการโอนเงิน การชำระดุล หรือการหักบัญชีที่ได้ดำเนินการผ่านระบบการชำระเงินที่มีความสำคัญก่อนเวลาที่ศาลมีคำสั่งรับคำร้องขอให้ฟื้นฟูกิจการหรือมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของสมาชิก ให้มีผลสมบูรณ์ไม่สามารถเพิกถอน กลับรายการ แก้ไข หยุด หรือระงับได้ (Payment finality) เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อเนื่องเป็นวงกว้าง (Systemic risk)
หลักการกำกับดูแล 5 ด้าน
- ด้านฐานะทางการเงิน
- ด้านธรรมาภิบาล
- ด้านการบริหารความเสี่ยงและความปลอดภัย
- ด้านการคุ้มครองผู้ใช้บริการ
- ด้านการส่งเสริมประสิทธิภาพและความสามารถในการแข่งขัน
![](images/oversight-payment-03.jpg)
โดย พ.ร.บ. ระบบการชำระเงิน ได้ให้อำนาจ ธปท. ประกาศกำหนดหลักเกณฑ์การกำกับดูแลระบบการชำระเงิน โดยมีตามกรอบหลักการกำกับดูแล 5 ด้าน คือ (1) ด้านฐานะทางการเงิน (2) ด้านธรรมาภิบาล (3) ด้านการบริหารความเสี่ยงและความปลอดภัย (4) ด้านการคุ้มครองผู้ใช้บริการ และ (5) ด้านการส่งเสริมประสิทธิภาพและความสามารถในการแข่งขัน นอกจากนี้ ธปท. สามารถเข้าตรวจสอบและขอข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนสั่งให้แก้ไขฐานะทางการเงินหรือการดำเนินงานที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน หรือฝ่าฝืนหรือละเลยไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่ ธปท. ประกาศกำหนด
![](images/oversight-payment-04.jpg)
2. การกำกับดูแลตามมาตรฐานสากล
คณะกรรมการระบบการชำระเงิน (กรช.) ได้เห็นชอบหลักเกณฑ์การจัดกลุ่มระบบการชำระเงินตามระดับความสำคัญ รวมถึงได้วางกรอบการกำกับดูแลระบบการชำระเงินในแต่ละกลุ่มเพื่อให้มีการกำกับดูแลที่สอดคล้องกับหลักการตามมาตรฐานสากล (Principles for Financial Market Infrastructures: PFMI) ที่ออกโดย Committee on Payments and Market Infrastructures (CPMI) ร่วมกับ International Organization of Securities Commissions (IOSCO) เมื่อเดือนเมษายน 2555 ซึ่งการกำกับดูแลตามมาตรฐานสากล PFMI สรุปสาระ สำคัญได้ดังนี้
2.1 ระบบการชำระเงินที่มีความสำคัญต่อความมั่นคงของระบบการเงินของประเทศ (Systemically Important Payment System: SIPS) ได้แก่ ระบบบาทเนต (BAHTNET) ที่ดำเนินการโดย ธปท. เนื่องจากเป็นระบบโครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน (Financial Market Infrastructure: FMI) ของประเทศ รองรับธุรกรรมการโอนเงินมูลค่าสูงระหว่างสถาบันการเงินและใช้สำหรับชำระดุลธุรกรรมตลาดเงินและระบบการชำระเงินอื่น ซึ่งหากระบบหยุดชะงักอาจส่งผลกระทบต่อสมาชิกในระบบอย่างต่อเนื่องเป็นวงกว้าง (Systemic risk) หรือเสถียรภาพและความมั่นคงของระบบการชำระเงิน จึงต้องมีการกำกับดูแลระบบ SIPS ให้ดำเนินการได้ตามมาตรฐานสากล PFMI ที่ใช้กับระบบการชำระเงินทุกข้อ (รวม 18 ข้อ)
2.2 ระบบการชำระเงินรายย่อยที่มีความสำคัญ (Prominently Important Retail Payment Systems: PIRPS) ได้แก่ ระบบ ICAS ซึ่งดำเนินการโดย ธปท. และระบบการโอนเงินรายย่อยระหว่างธนาคาร (Interbank Transaction Management and Exchange: ITMX) ซึ่งดำเนินการโดย บริษัท เนชั่นแนล ไอทีเอ็มเอ๊กซ์ จำกัด (NITMX) โดยในการกำกับดูแลระบบ PIRPS จะใช้มาตรฐานสากล PFMI จำนวน 14 ข้อ โดยไม่รวมถึงหลักการที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงทางการเงิน
3. กระบวนการกำกับดูแลระบบการชำระเงินของ ธปท.
3.1 การรวบรวมข้อมูลและติดตามการดำเนินงาน (Continuous off-site monitoring)
3.2 การประเมินความเสี่ยง (Risk assessment)
3.3 การตรวจสอบการดำเนินงาน (On-site examination)
3.4 การรายงานผลการกำกับดูแลต่อคณะกรรมการ (Reporting to committee)
3.5 การปรับปรุงแก้ไข (Improvement)
ความร่วมมือในการกำกับดูแลระบบการชำระเงิน (Co-operative Oversight)
ธปท. ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลระบบการชำระเงิน มีการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานกำกับดูแลระบบโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินอื่น ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการกำกับดูแลระบบโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินที่เชื่อมโยงกัน ให้มีความมั่นคงปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และมีการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างเพียงพอ และรวมถึงป้องกันความเสี่ยงในลักษณะลูกโซ่ (Systemic risk) ของทั้งระบบได้อย่างเหมาะสม สอดคล้องกับมาตรฐานสากล PFMI ตามหลักการด้านหน้าที่ความรับผิดชอบของธนาคารกลางหรือหน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแล (Responsibility E: Cooperation with other authorities) โดยมีการกำหนดขอบเขตความร่วมมือในการกำกับดูแลให้ครอบคลุมถึงเรื่องการกำหนดนโยบายและแผนการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินที่เชื่อมโยงกัน การดูแลความเสี่ยงที่สำคัญ และการจัดการกรณีที่ระบบเกิดปัญหาหรือขัดข้อง ซึ่งมีผลกระทบต่อระบบโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินที่เชื่อมโยงกัน
![](images/oversight-payment-05.jpg)
1. หน่วยงานกำกับดูแลในประเทศ
ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ซึ่งทำหน้าที่กำกับดูแลระบบศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (Central Securities Depositories: CSD) ระบบการชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์ (Securities Settlement Systems: SSS) และระบบสำนักหักบัญชีกลางสำหรับธุรกรรมการซื้อขายหลักทรัพย์ (Central Counterparties: CCP)
![](images/oversight-payment-06.jpg)
2. หน่วยงานกำกับดูแลในต่างประเทศ
ได้แก่ Hong Kong Monetary Authority (HKMA) ซึ่งกำกับดูแลระบบ US Dollar Clearing House Automated Transfer System (USD CHATS) โดยมีการเชื่อมโยงกับระบบบาทเนต (cross-border links) ในลักษณะการชำระดุลแบบข้ามพรมแดนในเวลาเดียวกันด้วยกลไก Payment-versus-Payment (PvP) เพื่อช่วยลดความเสี่ยงของการชำระดุลธุรกรรมซื้อขายเงินบาทและเงินดอลลาร์สหรัฐ
ทำความรู้จัก
“ระบบการชำระเงิน”
![](images/mark-rainbow.png)